Learning English Outside

Top 5 Reasons To Keep Drinking Coffee

1. Alzheimer’s Disease and Dementia risk are reduced. There were studies done with light to moderate drinkers, and the results were those that drank coffee moderately which were about 3 to 4 cups a day had a significantly less chance to get Alzheimer or Dementia.

2. Strokes and Ischemic and Subarachnoid Hemorrhages has been researched to be lowered than those that do not drink coffee, the reduction is about 15 to 16 percent. The antioxidants from coffee is said to shield or provide protection to the brain’s blood vessel from certain cholesterol and preventing the person to develop blood clot in the brain. Although hemorrhagic strokes did not reduce with any amount of coffee consumed.

3. Heart Diseases and Cardiovascular Diseases are reduced by about 23 percent when drinking about 2 to 3 cups of coffee a day. Although the caffeine increases the blood pressure it did not post any risk of increasing cardiovascular diseases. Coffee is suppose to help with endurance and also helps block out pain.Whether for exercises or video games, caffeine has proven its worth.Those that drink coffee regularly may need more as they will most likely burn out before those that do not normally drink.

4. Diabetes are reduced by almost 50 percent with a consumption of about four cups a day and each additional cup is suppose to add about another seven percent.Coffee has a component which exhibits inhibitory affect on toxic hIAPP(human islet amyloid polypeptide) formation which is found usually in the pancreas.The hIAPP is found in people with type II diabetes, it was suggested that the hIAPP is connected to the loss of insulin secretion and Beta-cells in type II diabetes.From research, each cup of coffee consumed daily will lower the risk of type 2 diabetes by 7 percent.And additional cups are supposed to stack percentages.

5. Liver Cancer and Cirrhosis, one of the products of caffeine is praxanthine, has been able to slow the growth of cell tissues in liver cancer, alcohol cirrhosis, and liver fibrosis.

ประเมินการสอนของอาจารย์

สิ่งที่ได้เรียนรู้จากอาจารย์นั้นมีหลายประเด็นด้วยกันที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในการสอนในอนาคตของดิฉัน ซึ่งในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอยู่เสมอในเรื่องของการเรียนการสอนและในฐานะที่ดิฉันกำลังจะเป็นคุณครูในอนาคตอันใกล้นี้ ดิฉันก็จะต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอเพื่อให้ก้าวทันต่อยุคโลกาภิวัฒน์ ส่วนสิ่งที่ดิฉันจะวิพากษ์และประเมินประกอบ คือ การสอน และบุคลิกภาพ

การสอนของอาจารย์มีรูปแบบการสอนที่แตกต่างไปจากอาจารย์ท่านอื่นๆที่ดิฉันเคยได้เรียนมาที่ กล่าวคือ อาจารย์จะเน้นให้นักศึกษาใช้กระบวนการคิดงานด้วยตัวของนักศึกษาเอง เน้นการค้นคว้าจากสื่อต่างๆด้วยตนเอง ให้คิดด้วยตนเองก่อนแล้วอาจารย์จะคอยให้คำชี้แนะและชี้แจงทีหลัง ซึ่งวิธีการเรียนอย่างนี้ทำให้ดิฉันต้องตื่นตัวและต้องคอยกระตุ้นตัวเองตลอดเวลาถ้าไม่เช่นนั้นแล้วงานก็จะไม่เสร็จตามเวลา และทำให้ดิฉันได้ใช้สมองในการคิดมากกว่าเดิมไม่ต้องคอยความรู้จากอาจารย์อย่างเดียวเหมือนที่ผ่านๆมา นอกจากนี้แผนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนมีจิตสาธารณะควบคู่กับความรู้ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อผู้เรียนเป็นอย่างยิ่ง ตอนแรกดิฉันเครียดมากเพราะไม่เคยเขียนแผนการสอนแบบนี้มาก่อน และไม่มีตัวอย่างว่าควรทำอย่างไร ควรจะเขียนในแนวไหนจึงจะถูก แต่เมื่อได้ปรึกษาและร่วมกันทำกับเพื่อนในห้องจึงทำให้ดิฉันสามารถทำแผนการเรียนรู้ที่เน้นจิตสาธารณะออกมาได้  ซึ่งดิฉันคิดว่าอาจารย์น่าจะมีตัวอย่างแผนการสอนที่เน้นจิตสาธารณะให้แก่นักศึกษาเพื่อเป็นแนวทางในการทำภาระงานให้ดียิ่งขึ้น แต่ดิฉันก็เข้าใจในความหวังดีของอาจารย์ที่อยากจะให้นักศึกษาได้คิดด้วยตนเองเพราะถ้าอาจารย์ให้มาดูเป็นตัวอย่างพวกเราก็จะลอกของอาจารย์มาไม่ได้คิดด้วยตนเอง

นอกจากการสอนที่ดีแล้วเรื่องบุคลิกภาพอาจารย์ก็เป็นสิ่งที่สำคัญก็ อาจารย์เป็นคนที่มีบุคลิกภาพที่ดี มีการแต่งกายที่เหมาะสมควรค่าแก่การเป็นแบบอย่างที่ดีของนักศึกษา และมีการทำตัวดีเหมาะสมกับการเป็นอาจารย์ มีความตรงต่อเวลาอย่างสม่ำเสมอ อาจารย์จะมารอนักศึกษาก่อนเสมอทุกครั้งที่มีการเรียนการสอน และอาจารย์จะแจ้ง และชี้แจงรายละเอียดทุกครั้งหากอาจารย์ไม่ได้มาสอน นอกจากนี้มีการสอนอย่างเต็มที่ เต็มความสามารถ และเต็มเวลา ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญต่อการเรียนการสอน  ยิ่งไปกว่านั้นอาจารย์ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี มีบุคลิกภาพที่ดีส่งผลให้นักศึกษามีความเชื่อมั่นในตัวอาจารย์และรวมทั้งความมีความต้องการในการมาเรียนในรายวิชานี้เป็นอย่างมาก  แต่ในบางครั้งดิฉันคิดว่าอาจารย์น่าจะลดความเคร่งขรึมลงบ้างเพราะบางทีมันทำให้ดิฉันรู้สึกเครียดและไม่มีสมาธิในการเรียนเพราะกลัวอาจารย์ค่ะ

จากสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนั้นสรุปได้ว่าการสอนของอาจารย์นั้นเป็นแบบอย่างที่ดี ซึ่งดิฉันคิดว่าจะนำวิธีการสอนของอาจารย์ไปใช้ในอนาคตเพราะวิธีการสอนแบบนี้ทำให้นักเรียนต้องตื่นตัวและต้องคอยกระตุ้นตัวเองตลอดเวลา และทำให้นักเรียนได้ใช้สมองในการคิดมากกว่าเดิมไม่ต้องคอยความรู้จากอาจารย์อย่างเดียว นอกจากนี้ยังทำให้นักเรียนสามารถพัฒนาศักยภาพในตัวของตนเองได้เป็นอย่างดี และในเรื่องของบุคลิกภาพนั้นดิฉันจะยึดถืออาจารย์ในการเป็นแบบอย่างทั้งการแต่งกาย การวางตัว และการตรงต่อเวลา 

สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเรียนรายวิชาหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้

จากการที่ได้เรียนรายวิชาหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้ ทำให้ดิฉันรู้ว่าการศึกษานั้นไม่ว่าระดับใดก็มุ่งเน้นการพัฒนาคนให้มีคุณลักษณะและศักยภาพที่เหมาะสมกับความต้องการของสังคม โดยมีหลักสูตรเป็นเสมือนพิมพ์เขียวในการจัดการศึกษาที่จะพัฒนาผู้เรียนไปสู่จุดมุ่งหมายที่ต้องการ อันจะส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาประเทศ ดังนั้นหลักสูตรจึงมีความสำคัญยิ่งต่อการจัดการศึกษาทุกระดับ ซึ่งจะกล่าวว่าหลักสูตรคือหัวใจทางการศึกษาก็คงไม่ผิด เพราะถ้าปราศจากหลักสูตรเสียแล้วการศึกษาก็ย่อมดำเนินไม่ได้ และหลักสูตรยังมีความสำคัญต่อการเรียนการสอน กล่าวคือ ถ้าหากไม่มีหลักสูตร ก็สอนไม่ได้เพราะไม่รู้จะสอนอะไร หรือถ้าจะสอนโดยคิดเอาเองก็จะเกิดความสับสน โดยที่อาจสอนซ้ำไปซ้ำมา ไม่เรียงลำดับตามที่ควรจะเป็น ผลการเรียนรู้อาจไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ ผู้เรียนเองก็จะมีความลำบากใจเพราะไม่ทราบว่าสิ่งที่เรียนไปนั้นสามารถนำไปใช้ได้อย่างไร ฉะนั้นแล้วดิฉันในฐานะนักศึกษาครูควรจะมีความรู้ความเข้าใจในส่วนนี้ให้กระจ่าง ซึ่งจะทำให้เกิดการจัดการเรียนรู้ที่ตรงตามวัตถุประสงค์และสร้างเครื่องมือในการวัดและประเมินได้ตามตัวชี้วัดที่ต้องการสอนได้

นอกจากนี้แล้วยังทำให้ดิฉันได้รู้เกี่ยวกับการสอนที่หลากหลาย เช่นวิธีการสอนแบบ The Audio-lingual Method ซึ่งเป็นวิธีการสอนตามหลัก ภาษาศาสตร์ และวิธีการสอนตามแนวโครงสร้าง เป็นการสอนตามหลักธรรมชาติ คือ ฟัง พูด อ่าน และเขียน สอนจนครบองค์ประกอบตามลำดับจากง่ายไปหายาก                The Direct Method คือ การสอนโดยชี้ให้เห็นโครงสร้างก่อนแล้วค่อยสอนให้เห็นถึงตัวอย่าง รายละเอียดอื่นๆ  ซึ่งตรงกันข้ามกับวิธีการสอนแบบ Indirect Method ที่สอนให้เห็นถึงตัวอย่าง รายละเอียดต่างๆ ก่อนแล้วค่อยสอนให้เห็นโครงสร้าง นอกจากนี้วิธีการสอนแบบTask – based เป็นวิธีการสอนหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะเน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากการปฏิบัติของผู้เรียนเอง ทั้งงานเดี่ยว งานคู่และงานกลุ่มที่ร่วมมือกันทำจนได้ผลของงานและเกิดการเรียนรู้ขึ้น ซึ่งอาจารย์ได้เน้นในเรื่องของวิธีสอนแบบ Task – based ซึ่งเป็นการเรียนการสอนที่มีการจัดการเรียนรู้ที่ให้ความสำคัญในภาระงาน  และใช้ความรู้เพื่อปฏิบัติภาระงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จซึ่งในการออกแบบการสอนโดยใช้ Task based เนื้อหาที่ออกแบบจะต้องสอดคล้องกับจิตสาธารณะ

นอกจากนี้แล้วยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับเทคนิคการสอนภาษาที่มีมากมายหลายแบบที่ช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ของนักเรียนให้มีความอยากเรียนภาษามากยิ่งขึ้นด้วยการนำเทคนิคการสอนต่างๆมาใช้เพื่อให้นักเรียนเกิดความอยากรู้และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง เช่น   Role Play,  Chain Drill, Information Gap, Song, Game, Video เป็นต้น นอกจากนี้การทำงานร่วมกับผู้อื่นก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่จะช่วยให้นักเรียนอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างมีความสุขด้วยการที่ให้นักเรียนทำงานเป็นคู่ และเป็นกลุ่ม

จากที่กล่าวมาข้างต้นนั้น สามารถสรุปได้ว่า หลักสูตรมีความสำคัญอย่างยิ่งในการจัดการศึกษาทุกระดับ หลักสูตรเป็นเครื่องกำหนดกรอบแนวปฏิบัติในการจัดการเรียนรู้ ชี้ให้เห็นแนวทางในการจัดประสบการณ์ให้กับผู้เรียน เปรียบได้กับแผนที่หรือเข็มทิศที่จะนำทางในการจัดการศึกษาให้บรรลุผล หลักสูตรที่ดีมีความเหมาะสมจะทำให้สามารถจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากหลักสูตรที่ดีแล้วสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือวิธีการสอนและเทคนิคการสอนซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นแนวทางในการพัฒนาผู้เรียนให้สามารถเรียนรู้ได้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกในปัจจุบัน และนอกจากนี้ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ก็จะทำให้ผู้เรียนมีเจตนคติที่ดีต่อการเรียนภาษาและสามารถเรียนภาษาได้ดียิ่งกว่าเดิม สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณอาจารย์อนิรุธ ชุมสวัสดิ์ ที่ได้ให้คำแนะนำที่ดี คอยตักเตือนในสิ่งที่ทำผิดพลาดและมอบความรู้ที่ดีเหล่านี้ให้ดิฉันได้นำไปใช้ในอนาคตต่อไป

Reflect

Today, our class has presentation continued from yesterday. My friends have different techniques for present in class.

Today begins by Supawadee. She presents the topic is where is your tree? She starts the lesson by greeting students and talks to student about the content of this lesson then, she asked the student about the homework. After that, she taught vocabulary about direction such as straight, intersection, turn right, etc. Next, she opens the audio about sentence to asking and giving direction and gives student do exercise. Then, she asks students to work in pair to practice conversation and students ask the partner about direction of friend’s tree by give students have to draw the tree on the map in exercise. I think her teaching is very well because she can make students understand in the lesson and she has a good personality.

Second person is Nuchanat. She presents the topic is Making an appointment. She starts the lesson by using video. Then, she teaches necessary vocabulary that student will meet in lesson.  After that, she opens the audio about making an appointment and gives students do exercise. Next, she give the work sheet to the student and lets students to do the activity, I think her teaching is very good because the content about making an appointment we students can be found in real life                            

  Third person is Atchara, She presents the topic is Will children save the world. She begins the lesson by using video. Next, she teaches vocabulary about save the world. Then, she opens the audio and ask the questions after audio and. After that, she gives the worksheet to the students and gives students to do the activity. I think her teaching is good because she have a good personality she can teach clearly.

  The last person is Sakkarin. He present the topic is My house has. He starts his lesson by using jigsaw game. Next, he use hangman game to tech vocabulary about things in house, He uses many techniques and interesting game to teach students but he not pass because he doesn't prepare himself for teaching today.

  To sum up, today I have learnt a lot of techniques to teaching English. It can help me to develop about my teaching in real life.

Learning English Outside

                                                 Charcoal

Have you ever used charcoal for cooking? Many years ago, Thai

people used charcoal for cooking because the process of making

charcoal was very easy. People could make it by themselves. At

present, charcoal is as essential and popular as cooking stoves. It is

cheaper and safer than cooking stoves. Using charcoal for cooking

makes food more delicious and can be kept food a long time.

          In the economy recession when people have low salary, people

choose to consume cheap products. For cooking, should be used

charcoal because it is cheaper than gas and can be uses as gas

substitute. The price of charcoal is stable unlike gas which tends to be

high continuously. In the past two years, the price of charcoal was

15 baht per kilogram. Now, the price of charcoal remains constant.

On the other hand, the price of gas has raised form 20 baht to 24 baht

per kilogram. So if we use charcoal for cooking, we can save a lot of

money.

          We can easily find charcoal in market near our houses. If we do

not want to buy charcoal, we can make it by ourselves. The process of

making charcoal is very easy. Therefore, we can make charcoal with

little investment. We can make charcoal by following this process.

First of all, dig a hole as large as we would like and find some wood

to make charcoal. Secondly, put the wood into the hole and spread

some chaff on the hole. Then, bury the hole. After that, burn it for at

least 10 hours. Lastly, remove lump coal form the hole. When we

open the hole, we will see a fresh batch of pure lump coal. We can use

it for cooking.

          Besides, charcoal is safer than gas. When we use gas we have to

be careful and should not forget to turn off the stoves. Explosion is

main danger of gas that can make us and family members seriously

injure. Therefore, we should use charcoal for cooking because it can

be extinguished by itself.

          In conclusion, charcoal is better than gas especially with people

low salary. Cooking food by roasting or on a barbecue using charcoal

will be beneficial. If we use charcoal for cooking our food will taste

and smell good. Do we want to use charcoal for cooking? If our

answer is “yes” let’s do it with our next meal.

Reflect

Today begins by Natnaree. She presents the topic is Thai herbs health probrems. She starts the lesson by teaching vocabulary about Thai herbs and health problems Next, she les the student to plays game this game its cell smetl and touch game

Then, she lets students to looking the video and asking some question from video. Her teaching is very well because the students can using it to apply in real life.

Second person is Nisakorn. She presents the topic is rude behavior. She begins the lesson by using the video and asking the question from the video. Next, she teaches vocabulary about bad behavior. Then, she lest the students to listen audio and answer the question. Her teaching is very good because she can teach clearly and the content and vocabulary we can see it every day.

Third person is Peerapong. He presents the topic is asking direction. He starts the lesson by using game. Then, he teaches the vocabulary about giving direction. Next, he lets the students to listen the audio and answer the questions. After that, he gives the worksheet to students and asks student to do exercise His teaching is good because can use technology for teaching in class but sometimes he teaches the content is not clear.

The last person in today is Thidarat. She presents the topic is  the video about asking for direction and asking some question from this video. After that, she teaches the vocabulary about direction. Next, she gives the worksheet to students and asks them to do exercise. I think her teaching is very well because she uses a good authentic material and she has a good personality.

 In conclude, Today I have learnt a lot of content that important in real life. Moreover, activity in class it has interesting and fun.                                                                                                    

Learning English Outside

What is a surrogacy mother?

 A surrogate mother is a woman who carries a fetus for someone else, usually a couple struggling with fertility issues. After the child is born, the surrogate surrenders it to the people who have hired her. There are various forms of surrogacy, some of which have been used historically, while other are more modern.

One form of surrogacy, traditional surrogacy, involves using artificial insemination to impregnate the surrogate mother. This technique is often used when a woman is physically unable to bear children, but she still wants to have children with her partner. In this case, the partner donates sperm, or sperm is secured from a third party if he is infertile as well, and the surrogate contributes half of the required genetic material. This type of surrogacy has been around for centuries, although it was not widely discussed until the twentieth century, since some women felt ashamed because they could not bear children.

Modern surrogate arrangements usually involve gestational surrogacy. In gestational surrogacy, the couple commissioning the surrogate mother donate both eggs and sperm. The egg is fertilized in a test tube, and then implanted into the surrogate. In this case, she acts almost like an incubator, carrying the child to term for a woman who is unable to do so.

Learning English Outside

        Advantages and Disadvantages of Eating at Out Restaurants

          Do you like eating out? Nowadays, life becomes more and more

comfortable but people are very busy. They don’t have time to

prepare and cook meals at home. So, someone prefers eating out at

restaurant. However, it has both advantages and disadvantages.

          There are many advantages of eating out. First of all, eating out

can save time and very comfortable. At restaurant, we can be more

relaxed. When we eat out, we do not have to cook and serve food

ourselves. Therefore, we can also save time because we do not have

to go the market to buy fresh food, prepare meals and even clean

dishes. We can choose food from the menu. Moreover, eating out

make us understand about restaurant etiquette. People are almost

always expected to eat with a knife and fork. These should be held in

the correct hand and used in the correct way. It is also impolite to

have our elbows on the dining table when we are eating. A further

advantage is to change eating atmosphere. This can help us feel more

 relaxed. We can enjoy the atmosphere around us, such as seeing

smart men and women. We can find new place to bring our boyfriend

or girlfriend for special meals.

          In contrast, there are certain drawbacks of eating out. Firstly,

eating out make us spend a lot of money. When we eat out, we have

to pay not only for the food, which is sold at a higher price than it real

value, but also for the service such as tips, parking fee, etc. Moreover,

unhealthy food is mainly served. In restaurant, food is preserved by

using some dangerous substance to make it tastes delicious and eye-

catching. It is harmful to our health since those spices are mostly

made of chemical elements and not listed in the menu. If we want to

diet, eating out cannot control calories, oil and monosodium

glutamate. Finally, eating out might decrease relationship between

family members. We do not prepare food and cook it together can’t

talk to our children about school or our spouse about his day at work

over dinner. If we are too busy to cook at home, we may not be able

to spend valuable time with our loved ones.

          In general, eating out is a reasonable choice for everybody

because we can save time and change eating atmosphere. Moreover it

can help us gain deep understanding about restaurant etiquette. On the

other hand, it makes us spend a lot of money with unhealthy food.

Eating out can decrease good relationship among family members.

So, we should make up our mind to eat out or eat in.

Learning English Outside

The Widener Library

The Harry Elkins Widener Memorial Library is Harvard University's flagship library. Built with a gift from Eleanor Elkins Widener, it is a memorial to her son, Harry, Class of 1907, an enthusiastic young bibliophile who perished aboard the Titanic. It had been Harry's plan to donate his personal collection to the University once it provided a suitable alternative to the outdated and inadequate library then located in Gore Hall. Mrs. Widener fulfilled her son's dream by building a facility of monumental proportions, with over 50 miles of shelves and the capacity to hold over three million volumes.

The library opened in 1915, but Harvard's collections continued to grow at an astounding rate and by the late 1930s, Widener's shelves were filled to capacity. Space was at a premium for staff and patrons as well as books, which led the library administration to begin a lengthy decentralization process. Over time Harvard built several new libraries to house the increasingly specialized collections. By redistributing books to new libraries, space opened up in Widener, but it was gradually given over to the growing staff hired to attend to the collections.

In addition to the physical challenges associated with housing and maintaining an ever growing collection, the 20th century also saw technological advancements that affected Widener from electrical wiring to a computerized card catalog to sophisticated research workstations.

Widener Library ushered in the new millennium in the midst of its greatest change since opening in 1915. From 1999 to 2004, the building underwent an extensive renovation to ensure the long-term preservation and security of collections and to increase user space. Renovations included an upgrade of the heating, ventilation, air conditioning, humidity control, electrical, lighting, fire suppression, and security systems. In addition, two new reading rooms and staff workspace were created in the building's two interior light courts, and space previously designated for staff was reallocated for patron use.

Reflect

Today, our class has presentation continued from last week. My friends have different techniques for present in class.

First person is Nitaya. She presents the on “Traffic pollution damages Kid’s Lungs” topic. She begins the class by guessing word. Then, she teaches the vocabulary about traffic pollution. After that, she gives the work sheet to the student and lets students to do the activity.

         Second person is Nuntiya. She presents on topic“Have you ever been to the beach?”. She started her teaching by using questionnaire. Then, she let the students to play matching game. Next, she lets the students to listen to a record about the beaches in Thailand are disappearing. After that, she gives the work sheet to the student and lets students to do the activity.

          The last person is Phichaya. He presents on  “Acid Rain” topic. He begins the class by using the video. Then, he teaches the vocabulary about Acid Rain and he gives the work sheet to the student and lets students to do the activity. He uses Chain drill techniques in his teaching.

          To sum up, today I have learnt a lot of technique for teaching. It can help to develop my teaching.